ความรู้เรื่องโรคสมองเสื่อม
พญ. สิรินทร ฉันศิริกาญจน
ภาควิชาอายุรศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธิบดี
|
สมองเสื่อมคืออะไร สมองเสื่อมกับสมองฝ่อเหมือนกันหรือไม่่
สมองเสื่อม คือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีการเสื่อมของการทำงานของสมองทั้งหมด ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับความจำ
ความรอบรู้ มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและบุคลิกภาพของผู้ป่วยรายนั้น ๆ
สมองเสื่อมไม่ใช่เป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปเมื่อคนเราสูงอายุ แต่ภาวะสมองเสื่อม ถือเป็นโรคที่เกิดขึ้นในคนนั้น
ๆ คนสูงอายุทั่วไปอาจจะมีการลืมได้บ้าง แต่ว่าลืมแล้วก็จะจำได้ อาจจะนึกไม่ออกว่าเราเอาของไปวางไว้ที่ไหน
แต่ก็รู้ว่า เอ๊ะ! เราต้องไปวางไว้แน่ ๆ จำได้ว่าถือมา แต่เราเอาไปวางไว้ที่ไหน
แล้วเราก็หาดูว่าเราเอาไปวางไว้ที่ไหน แต่ในผู้ป่วยสมองเสื่อม สิ่งเหล่านี้ผู้ป่วยจะจำไม่ได้เลยว่าหยิบของนี้มา
หรือจำไม่ได้เลยว่ามีการทำกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น จำไม่ได้ว่ารับประทานอาหารไปหรือยัง
จำไม่ได้ว่าพึ่งทานไปประเดี๋ยวนี้ การลืมใหญ่ ๆ แบบนี้เป็นลักษณะของผู้ป่วยสมองเสื่อม
นอกจากนั้นผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกภาพรวมด้วย กล่าวคือแต่ก่อนเคยมีบุคลิกภาพอย่างหนึ่ง
อาจจะเป็นคนแต่งตัวสวยงามดูแลตนเองอยู่เสมอ ต้องไปทำผมสระผมทุกวันเสาร์อาทิตย์
เมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลงทางสมอง ผู้ป่วยจะไม่สนใจตัวเอง ไม่ดูแลตัวเอง ให้ไปทำผมสระผมก็ไม่ไป
บางรายไม่ยอมอาบน้ำ บางรายเอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วนำมาแขวนไว้แล้วนำกลับมาใส่อีกซ้ำ
ๆ ซาก ๆ ไม่ยอมเอาไปซัก เป็นต้น
ผู้ป่วยอาจมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วย จากคนที่เรียบร้อยคนช่างหัวเราะ อาจจะมีพฤติกรรมที่โกรธเกรี้ยว
ก้าวร้าว รุนแรง หรือในทางกลับกัน บางคนกลับยิ้มหรือหัวเราะตลอดเวลาทั้งที่ไม่ใช่เรื่องขำ
ผู้ป่วยอาจหัวเราะ ยิ้ม กินข้าวไปหัวเราะไปก็เคยเจอ ลักษณะอย่างนี้เป็นลักษณะของสมองเสื่อม
ส่วนคนที่ขี้ลืม เอาของไปวางแล้วจำไม่ได้ว่าไปวางไว้ที่ไหน จอดรถอย่างรวดเร็ว ลงรถเดินออกไปแล้วจำไม่ได้ว่าตัวเองล็อกรถหรือยัง
ต้องเดินกลับมาดูบ่อย ๆ หรือว่าเดินไปซื้อของ ก็เอาของที่ซื้อมาก่อนหน้านี้วางไว้ที่ร้านนั้น
หยิบของใหม่ได้ก็หยิบแต่ของใหม่กลับไป ลักษณะเหล่านี้เป็นลักษณะของการลืม ซึ่งอาจพบได้ในคนทั่ว
ๆ ไป ซึ่งการลืมเหล่านี้ อาจจะแก้ไขได้โดยฝึกให้ดีขึ้นได้ โดยการตั้งใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่า
เราถือของนี้มานะ เมื่อจะเดินจากสถานที่แห่งนั้น ให้หยุดคิดว่าเราถืออะไรมาบ้าง
ถ้านั่งอยู่ลุกขึ้นแล้ว ให้มองไปที่โต๊ะก่อนว่ ามีอะไรทิ้งอยู่หรือเปล่า มีอะไรค้างอยู่ไหม
แล้วจึงเดินไป การฝึกตัวอยู่ เสมอ ๆ จะทำให้การลืมลดลง
สมองเสื่อมเกิดจากสาเหตุอะไร
สมองเสื่อมเกิดจากสาเหตุหลายประการ
1. เกิดจากการเสื่อมสลายของสมอง หมายความว่า เนื้อสมองมีการเสื่อมสลาย หรือมีการตายเกิดขึ้น
ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ไม่ทราบว่ามีสาเหตุมาจากอะไร ไม่ทราบว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นทำให้เนื้อสมองมีการตาย
โรคที่พบบ่อยในกลุ่มนี้ได้แก่ โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน และยังมีโรคอื่น ๆ อีกหลายโรค
ซึ่งล้วนมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ เช่น Huntington chorea ในกลุ่มนี้ โรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งพบว่าอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อม
50-70 เปอร์เซนต์ของคนไข้ทั้งหมด สำหรับในคนไทย ขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขที่แน่นอนว่า
คนไทยเป็นอัลไซเมอร์มากน้อยเพียงใด และคิดเป็นอัตราส่วนเท่าไหร่ของคนไข้สมองเสื่อมทั้งหมด
แต่ในไม่ช้านี้ คงจะมีการศึกษาและคงจะได้คำตอบออกมา
2. โรคสมองเสื่อมเกิดจากหลอดเลือดสมอง กลุ่มนี้เกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองมีการหนาตัว
แข็งตัว หรือมีการตีบตัวผิดปกติ ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลง ถ้าลดลงมากจนถึงระดับที่ไม่เพียงพอกับการใช้งานของสมอง
ก็จะทำให้เนื้อสมองตายไป เนื้อสมองส่วนที่ตายไปนั้น ถ้าเกิดขึ้นในพื้นที่เล็ก ๆ
ก็อาจจะยังไม่มีอาการอะไรในระยะแรก แต่ถ้ามีการตายของเนื้อสมอง เนื่องจากการขาดเลือดนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
จนเนื้อสมองมีการตายเป็นจำนวนมาก จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหลงลืมหรือสมองเสื่อมได้
ในบางครั้งเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองนั้น อุดตันในบริเวณเส้นเลือดใหญ่ ทำให้เกิดเนื้อสมองตายขนาดใหญ่
ผู้ป่วยรายนี้อาจจะเกิดอาการสมองเสื่อมได้ ถึงแม้ว่าจะมีการเส้นเลือดอุดตันเพียงครั้งเดียวก็ตาม
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาด บริเวณของสมองที่มีการเสียหายเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง
ดังนั้นผู้ป่วยที่แนวโน้มว่า จะมีเส้นเลือดสมองตีบผิดปกติ มักจะอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้
ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีระดับไขมันคลอเลสเตอลอลสูง
หรือผู้ป่วยที่สูบบุหรี่เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อีก
3. สมองเสื่อมที่เกิดจากการติดเชื้อในสมอง มีเชื้อไวรัสหลายชนิดซึ่งทำให้เกิดการอักเสบในสมอง
ตัวอย่างเช่น เชื้อไวรัสสมองอักเสบที่เกิดจากไวรัสที่ติดมาจากหมู ท่านอาจจะเคยทราบข่าวว่า
มีการระบาดของไวรัสนี้ในที่ประเทศมาเลเซีย มี หมูมีเชื้อโรคอยู่ในตัว ยุงไปกัดหมูเอาเชื้อโรคจากหมูมาสู่ยุง
แล้วยุงนั้นไปกัดคนอีกต่อหนึ่ง คนที่ถูกกัดจะมีอาการไข้ และไวรัสจะขึ้นสมอง ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะถึงแก่ความตาย
ผู้ป่วยที่ไม่เสียชีวิต ก็จะมีการเสียหายของเนื้อ ซึ่งความเสียหายนี้จะมากหรือน้อย
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อสมอง เนื้อสมองบางส่วนที่ตายไป ทำให้ความสามารถของสมองเสื่อมลงไป
เสียหายไปในช่วงที่เจ็บป่วยผู้ป่วยจะไม่รู้ตัว นอนตลอดเวลา ถ้าอาการดีขึ้นจะเริ่มรู้ตัว
แต่มักจะจำอะไรหรือจำใครไม่ได้ อาจมีพฤติกรรมแปลก ๆ บางคนเอะอะโวยวาย บางคนแสดงอาการว่าเห็นภาพหลอน
ซึ่งเป็นลักษณะของสมองเสื่อมชนิดหนึ่ง นอกจากเชื้อไวรัสนี้แล้ว ในปัจจุบันยังมีเชื้อไวรัสอีกส่วนหนึ่ง
ที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้แก่ การติดเชื้อไวรัส HIV หรือไวรัสที่ทำให้เกิดเป็นโรคเอดส์นั้นเอง
ไวรัสชนิดนี้เข้าไปในร่างกายแล้ว อาจจะทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายบกพร่อง และตัวไวรัสเองก็เข้าไปทำให้เกิดการติดเชื้อ
เกิดการเสียหายของสมอง ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ความจำเปลี่ยนแปลง บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง
เป็นลักษณะของคนเป็นสมองเสื่อมได้ ส่วนใหญ่แล้วสมองเสื่อมที่เกิดการติดเชื้อในสมองนั้น
มักพบในคนอายุน้อย
4. สมองเสื่อมจากการขาดสารอาหารบางชนิด โดยเฉพาะวิตามิน เช่น วิตามิน B1 หรือวิตามิน
B12 วิตามิน B1 เป็นสารช่วยทำให้การทำงานของเซลล์สมองเป็นไปอย่างปกติ ผู้ที่ขาดวิตามิน
B1 มักจะพบในผู้ป่วยที่ติดเหล้า หรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง คนกลุ่มนี้มักจะกินเหล้าจนเมา
และมักไม่ได้อาหารที่เพียงพอ วิตามิน B1 ไม่เพียงพอต่อร่างกาย ทำให้เซลล์สมองทำงานไม่ได้ตามปกติ
จนอาจจะถึงแก่เซลล์สมองเสียหายตายไป นอกจากนี้วิตามิน B12 เองก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำงานของสมอง
ผู้ป่วยที่ขาดวิตามิน B12 มักจะพบในผู้ป่วยที่เป็นมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด เป็นเวลานานหลาย
ๆ ปี ส่วนใหญ่แล้วในคนไทยมักจะได้วิตามิน B12 จากน้ำปลาหรือจากอาหารเนื้อสัตว์
เช่น หมู คนที่รับประทานมังสวิรัติก็จะขาดสารอาหารตัวนี้ ดังนั้น คนที่ทานมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด
จึงควรได้รับวิตามินเสริมเป็นครั้งคราว เพื่อให้เพียงพอกับการทำงานของระบบต่าง
ๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ยังอาจพบการขาดวิตามิน B12 ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
และลำไส้เล็กส่วนต้นออกไป ซึ่งจะทำให้ขาดสารอาหารบางอย่าง ซึ่งช่วยหรือเป็นตัวจำเป็นในการดูดซึมวิตามิน
B12 จากกระเพาะอาหารและลำไส้เข้าสู่ระบบร่างกาย
5. สมองเสื่อมจากการแปรปรวนของเมตาโบลิกของร่างกาย เช่นการทำงานของต่อมไร้ท่อบางชนิดผิดปกติไป
เช่น ต่อมธัยรอยด์ทำงานมากไป หรือทำงานน้อยไป การทำงานของตับหรือของไตผิดปกติไป
จะทำให้เกิดของเสียคั่งอยู่ในร่างกาย ซึ่งมีผลทำให้สมองไม่สามารถสั่งการได้ตามปกติ
ถ้าภาวะอย่างนี้เป็นอยู่นาน ๆ จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการสมองเสื่อมได้
6. สมองเสื่อมจากการถูกกระทบกระแทกที่ศรีษะอยู่เสมอ ๆ ภาวะนี้พบบ่อยในคนที่มีปัจจัยเสี่ยง
ที่จะมีการกระทบกระแทกที่ศีรษะ โดยเฉพาะพวกนักมวย นักกีฬาบางชนิดที่ต้องใช้ศีรษะกระแทกสิ่งต่าง
ๆ หรืออาจจะพบในผู้ป่วยที่ดื่มสุรา เมาแล้วก็เดินชนโน่นชนนี่ หรือหกล้มศีรษะฟาดพื้น
ถ้าเป็นซ้ำแล้วซ้ำอีก เนื้อสมองที่กระทบกระแทกกระเทือนนั้นจะตายไป เมื่อเนื้อสมองตายไปจำนวนมากเข้า
ก็จะทำให้การทำงานไม่เป็นปกติ มีอาการสมองเสื่อมได้
7. สมองเสื่อมจากเนื้องอกในสมอง โดยเฉพาะเนื้องอกที่เกิดจากทางด้านหน้าของสมอง
ผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการแบบที่พบในเนื้องอกสมองส่วนอื่น เช่น อาการแขนขาไม่มีแรง
มองเห็นภาพซ้อน หรืออาการซึ่งแสดงว่ามีความดันในกระโหลกศีรษะมากขึ้น เช่น อาเจียนหรือปวดศีรษะ
แต่เนื้องอกในบริเวณนี้อาจจะทำให้บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง ความจำและการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งเป็นลักษณะของผู้ป่วยสมองเสื่อมได้
ข้างบนนี้เป็นสาเหตุที่เจอบ่อย ๆ ที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมได้ อย่างไรก็ตามสมองเสื่อมในคนสูงอายุ
มักจะมีสาเหตุมาจากโรคอัลไซเมอร์ หรือปัญหาหลอดเลือดสมองผิตปกติ หรือในคนไข้บางคนอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง
คืออาจจะเป็นทั้งอัลไซเมอร์ และมีปัญหาหลอดเลือดสมองรวมด้วย
จะทราบได้อย่างไรว่าขี้ลืม (ธรรมดา ๆ) หรือโรคสมองเสื่อม
เมื่อผู้ป่วยหรือญาติ รู้สึกว่าคนบางคนมีความจำผิดปกติ หรือมีปัญหาพฤติกรรมผิดปกติ
ก็อาจจะนำผู้ป่วยมาปรึกษาแพทย์ แพทย์จะต้องดำเนินการซักประวัติ ประวัติอาการของผู้ป่วย
จะช่วยให้แพทย์สามารถทราบได้ว่า ผู้ป่วยนั้นเป็นสมองเสื่อมจริงหรือไม่ และถ้าใช่น่าจะเป็นสมองเสื่อมจากสาเหตุอะไร
แพทย์จะซักเกี่ยวกับ
- ระยะเวลาที่มีอาการช้า เร็ว
- ลักษณะการเดิน
- อาการร่วมอื่น ๆ เช่น มีไข้ เป็นลม หอบ เป็นต้น
- ลักษณะการดำเนินชีวิต
- ประวัติการบาดเจ็บทางสมอง
- ลักษณะอาหารการกิน การใช้ยา
- โรคประจำตัวต่าง ๆ โรคที่เป็นพันธุกรรมตกทอดมาในครอบครัว อัมพาต อัมพฤกษ์
ตรวจร่างกาย
แพทย์จะตรวจดูถึงความผิดปกติที่อยู่ในระบบต่าง ๆ ในร่างกาย และจะต้องตรวจระบบของสมองด้วย
การทดสอบสมรรถภาพของสมอง
แพทย์จะให้ผู้ป่วยตอบคำถามหลาย ๆ อย่าง เพื่อที่จะดูว่า สิ่งที่ผู้ป่วยบ่นว่าลืมนั้น
เป็นอาการลืมที่พบได้ในคนทั่ว ๆ ไป หรือมีลักษณะแนวโน้มว่าจะเป็นสมองเสื่อม ผู้ป่วยจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเวลา
สถานที่ที่อยู่ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ อาจจะให้มีการจำของบางอย่างแล้วถามซ้ำทีหลัง อาจจะให้ผู้ป่วยทำกิจการบางอย่างให้ผู้ทดสอบดู
เช่นให้วาดรูปให้เขียนนาฬิกา หรือให้บวกเลขลบเลข เป็นต้น เพื่อดูว่าสมองยังทำงานได้ตามปกติหรือไม่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์ (ตรวจเลือด) และเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง
เนื่องจากสาเหตุสมองเสื่อมเป็นได้จากหลายประการ อาจจะเกิดจากความผิดปกติแปรปรวนของระบบ
เมตาโบลิกของร่างกาย เราจึงต้องเจาะเลือดเพื่อดูว่าผู้ป่วยมีปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นหรือไม่
และการทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะดูว่า ผู้ป่วยมีเนื้องอกหรือความผิดปกติอื่น
ๆ อยู่หรือไม่ หรือมีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยเคยมีปัญหาหลอดเลือดในสมองตีบหรืออุดตันมาก่อน
จึงทำให้เกิดเนื้อสมองตายเป็นย่อมๆ
ซึ่งทั้งหมดนี้มาประมวลรวมกันแล้ว แพทย์ก็สามารถจะให้คำตอบได้เป็นแนวทางว่า ผู้ป่วยเป็นสมองเสื่อมหรือไม่
ถ้าเป็นน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร
โรคสมองเสื่อมรักษาได้หรือไม่
โรคสมองเสื่อมนั้นบางอย่างอาจจะรักษาได้ แต่บางอย่างอาจจะก็รักษาไม่ได้ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า
โรคสมองเสื่อมอาจเกิดได้จากสาเหตุหลายประการ ในผู้ป่วยสมองเสื่อมที่เกิดจากการขาดสารอาหารบางอย่าง
เช่น วิตามิน B1, B12 หรือผู้ป่วยที่มีการแปรปรวนของระบบเมตาโบลิกของร่างกาย ผู้ป่วยสองกลุ่มนี้ถ้าได้รับการรักษาแล้ว
อาการสมองเสื่อมมักจะดีขึ้น ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่ามีอาการมากน้อยเพียงใด ความเสียหายของสมองมีมากน้อยเพียงใด
ถ้าความเสียหายมีไม่มากนัก ได้รับการแก้ไขตามเวลาที่สมควร เนื้อสมองไม่ถูกทำลายไปมาก
ผู้ป่วยก็จะมีอาการดีขึ้น และหลังจากรักษาแล้วอาการก็จะทรงอยู่ในลักษณะนั้นไปเรื่อย
ๆ
ส่วนโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมสลายของสมอง ปัญหาหลอดเลือดสมอง จากการติดเชื้อในสมอง
จากการกระทบกระแทก ผู้ป่วยเหล่านี้มักจะไม่สามารถรักษาได้ อาจจะมียาบางอย่างช่วยทำให้อาการของผู้ป่วยดำเนินไปช้าลง
แต่ในที่สุดโรคที่ดำเนินมากขึ้น อาการสมองเสื่อมของบุคคลนั้น ก็จะไปตามทันคนอื่น
ๆ ที่ไม่ได้ยาเหมือนกัน
ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการสมองเสื่อมตั้งแต่อายุเท่าไหร่
จะเป็นโรคสมองเสื่อมตั้งแต่อายุที่เท่าไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการสมองเสื่อมจากสาเหตุดังนี้
ได้แก่ อาการสมองเสื่อมที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อในสมอง เกิดจากการขาดสารอาหาร เกิดจากการแปรปรวนเมตาโบลิกของร่างกาย
ได้รับการกระทบกระเทือนกระแทก หรือจากเนื้องอกในสมอง เป็นต้น สำหรับกลุ่มโรคอัลไซเมอร์
และโรคที่เกิดจากการเสื่อมสลายของสมอง หรือผู้ป่วยสมองเสื่อมจากปัญหาหลอดเลือดสมอง
เรามักจะพบว่าผู้ป่วยมักจะอายุมากกว่ากลุ่มแรก อย่างไรก็ตามโรคบางโรคที่เกิดจากการเสื่อมสลายของสมอง
เช่น โรค Huntington chorea อาจจะเกิดกับคนไข้อายุน้อยก็ได้ และโรคในกลุ่มนี้ บางโรคจะถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ด้วย
ผู้ป่วยสมองเสื่อมเมื่อป่วยแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร
เป็นการยากที่จะบอกว่าผู้ป่วยจะมีชีวิตได้อีกนานเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้ว ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นสาเหตุของสมองเสื่อมของผู้ป่วย
และสุขภาพโดยส่วนรวม ถ้าพูดถึงโรคอัลไซเมอร์แล้ว โดยเฉลี่ยผู้ป่วยมักจะมีชีวิตได้ราว
10 ปี บางรายอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 20 ปี แต่ในบางรายอาการของโรคจะไปเร็วมาก อาจจะเสียชีวิตภายใน
2-3 ปี พบว่าผู้ป่วยอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อมอื่น ๆ นั้น ถ้าหากว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี
อาการดำเนินโรคเกี่ยวกับทางสมองเสื่อมจะดำเนินไปอย่างช้า ๆ แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่ผู้ป่วยเหล่านี้มีปัญหาทางสุขภาพอื่น
ๆ เช่นต้องเข้าโรงพยาบาล หกล้มสะโพกหักต้องผ่าตัด เป็นหวัดปอดบวม หรือมีกล้ามเนื้อหัวใจตายต้องนอนโรงพยาบาลนาน
ๆ คนไข้พวกนี้อาการสมองเสื่อมจะเลวลงอย่างมาก มีการติดเชื้อในช่วงที่พักรักษาตัวด้วยปัญหาสุขภาพอื่น
ๆ และถึงแม้จะรักษาโรคทางกายอื่น ๆ เหล่านั้นหายเรียบร้อยแล้ว อาการทางสมอง และความจำมักจะดีขึ้นอย่างช้า
ๆ แต่อย่างไรก็ตามที เรื่องความจำก็จะยังแย่กว่าที่คนไข้เคยเป็นช่วงก่อนที่จะไม่สบาย
ดังนั้นจึงอยากจะแนะนำผู้ที่ดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ว่า จะต้องดูแลให้ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ
มีสารอาหารครบถ้วน หรือ บริโภคอาหารครบ 5 หมู่ ให้มีการออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ
เพื่อให้มีการทรงตัวที่ดี ลดโอกาสที่จะหกล้ม ระมัดระวังอย่าให้ไม่สบายเป็นหวัด ระมัดระวังการใช้ยาต่าง
ๆ โดยไม่จำเป็น เพราะยาบางชนิดทำให้อาการสมองเสื่อมเลวลง การระมัดระวังเหล่านี้ จะทำให้การดำเนินโรคสมองเสื่อมช้าลง
การดำเนินโรคของผู้ป่วยอัลไซเมอร์
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ มักจะแบ่งการดำเนินโรคออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกคือระยะที่มีอาการเล็กน้อย
ระยะที่สองคือระยะปานกลาง และระยะที่สามคือระยะรุนแรง ผู้ป่วยอัลไซเมอร์มักจะมีปัญหาเรื่องความจำ
เรื่องการใช้ภาษา การทำกิจวัตรประจำวันและบุคลิกภาพ
ในช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการน้อย หรืออยู่ในช่วงระยะแรกนั้น ผู้ป่วยมักจะจำเรื่องบางอย่างไม่ได้
โดยเฉพาะเรื่องที่ตัวเองพึ่งจะพูดไปหรือพึ่งจะทำไปเพราะจำไม่ได้ ผู้ป่วยมักจะพูดซ้ำ
ๆ โทรศัพท์ไปหาลูกวันละหลาย ๆ ครั้งเพื่อบอกเรื่องเดิม ๆ ผู้ป่วยจะถามซ้ำ ๆ มีคนเอาของมาให้ก็จะบอกไม่ได้ว่าใครเอามาให้
เป็นต้น ความจำที่เป็นความจำระยะก่อน เช่นความจำในช่วงยังสาว อาจจะจำได้ดีอยู่ จำได้ว่าบ้านตอนนั้นอยู่ตรงไหน
เป็นยังไง พี่น้องยังไง จะเล่าแต่เรื่องเก่า ๆ ซ้ำ ๆ แต่บางครั้งถ้าให้เล่าจริง ๆ
อาจจะพบว่า ลักษณะรายละเอียดของความจำเก่า ๆ นั้น ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง หรือบิดเบือนไปจากที่เป็นจริง
นอกจากเรื่องความจำแล้ว ผู้ป่วยมักจะมีปัญหากับเรื่องการใช้ภาษา ผู้ป่วยระยะนี้มักจะเรียกสิ่งของที่เป็นชื่อเฉพาะเรียกคำนามเฉพาะนี้ได้ลำบาก
อาจจะเรียกชื่อคนไม่ถูก อาจจะไม่สามารถเรียกนาฬิกาได้ถูกต้อง แต่ทราบว่านาฬิกานี้เอาไว้ใช้ดูเวลา
ยิ่งของที่ใช้น้อยหรือนาน ๆ จะพูดถึงเสียทีก็จะยิ่งพูดไม่ถูกหรือเรียกไม่ถูก บางครั้งต้องอธิบายกันหลายอย่าง
กว่าจะทราบว่าผู้ป่วยจะกล่าวถึงอะไร ผู้ป่วยจะยังคงทำกิจวัตรประจำวันได้ ไปอาบน้ำได้
แต่งตัวได้ แต่มักพบว่าการทำกิจวัตรประจำวันนั้นช้าลงกว่าเดิม บางครั้งผู้ป่วยหายเข้าไปในห้องน้ำเป็นเวลานาน
ๆ จึงจะออกมา กว่าจะอาบน้ำเสร็จนานมาก อาจจะทิ้งสิ่งของไว้เรี่ยราดเลอะเทอะ ในระยะนี้ผู้ป่วยจำนวนมากจะเริ่มรู้ว่าตัวเองผิดปกติ
จะพยายามไปพบแพทย์และบ่นว่าความจำไม่ดี ส่วนมากแพทย์มักจะยังไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติที่ชัดเจน
มักจะบอกว่าลืม อาจจะมีความรู้สึกกระวนกระวายวุ่นวายอยู่ไม่สุข กลับกันบางรายอาจจะมีลักษณะซึมเศร้าแยกตัวถดถอย
ไม่ยอมรวมกลุ่มกับใคร ยิ่งทำให้อาการหลงลืมเป็นมากขึ้น อาการของโรคในระยะแรกนี้อาจจะเป็นตั้งแต่
1- 5 ปี
ระยะที่สอง อาการของโรคจะดำเนินต่อไปจะสูญเสียความจำใกล้ ๆ มากขึ้นจำไม่ได้ว่ากินข้าวไปแล้ว
พอเห็นคนอื่นมาทานก็จะทานอีก คนอื่น ๆ ก็จะยืนยันว่ากินไปแล้ว แต่ผู้ป่วยก็จะไม่เชื่อ
จะเกิดการทะเลาะโต้เถียงกัน ระยะนี้ผู้ป่วยหลายรายเริ่มมีความบกพร่องในการดูแลตัวเอง
มักจะไม่อาบน้ำ ลืมไปว่าจะต้องตัดเล็บ ต้องสระผม บางครั้งชวนไปอาบน้ำก็โกรธ ให้ไปอาบเองก็ไม่ยอมไป
สืบเสาะไปมาจึงทราบว่า ที่ไม่ยอมไปนั้นเพราะไม่รู้ว่าจะต้องไปเอาเสื้อผ้าที่ไหน จะต้องเปิดน้ำอย่างไร
นึกไม่ออกว่าจะต้องทำอย่างไงต่อไป จึงเกิดการบ่ายเบี่ยง ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ชอบออกนอกบ้าน
อาจจะหลงทางเพราะจำทิศทางไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ถนนนั้นอยู่ห่างออกจากบ้านไปไม่กี่สิบเมตรเอง
แต่ก่อนเคยเดินไปได้ถึงสี่แยกที่อยู่ใกล้บ้าน แต่คราวนี้เดินไปถึงสี่แยกแล้วนึกไม่ออกว่าจะต้องเลือกเส้นทางไหน
ถึงจะกลับบ้านได้ถูกต้อง ผู้ป่วยก็พยายามมองและก็เดินไปเดินไปเรื่อย ๆ ในที่สุดหลง
ถ้าถามว่าบ้านอยู่ที่ไหนก็จะตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าอยู่ใกล้ ๆ กับสะพานสูง ๆ หรือบอกแต่ว่าบ้านมีต้นไม้ใหญ่
ๆ ระยะนี้ผู้ป่วยจะใช้ภาษาผิดพลาดมากกว่าเดิม จะเรียกคำศัพท์เฉพาะไม่ค่อยถูกต้อง
เรียกชื่อคนผิด ๆ ถูก ๆ ความเฉลียวฉลาดจะลดลงมาก ไม่สามารถจะใช้เงินทองได้ ไม่สามารถจะบวกลบเลขได้ถูกต้องได้
บางทีใช้สตางค์แล้ว ไม่รู้ว่าเค้าจะทอนมาถูกไมต้อง จ่ายเท่าไหร่ได้เงินมาก็นับแล้วนับอีกไม่ถูกซักที
ระยะนี้อาจจะเป็นอยู่ 2- 5 ปี
ระยะที่ 3 ระยะรุนแรงความเฉลียวฉลาดของผู้ป่วยจะลดลงมาก ความจำจะแย่ลงไป คนไข้จะจำคนใกล้ชิดไม่ได้
จะจำไม่ได้ว่าคนนี้ชื่ออะไร มีความสัมพันธ์กับตนอย่างไร เป็นภรรยาหรือเป็นลูกคนที่เท่าไหร่
แต่รู้ว่าคนนี้เรายังรู้จัก จะแสดงสีหน้ายินดีที่เจอ จะเข้ามาทักทายปราศรัย แต่เรียกชื่อไม่ถูก
คนไข้บางคนก็จะเริ่มจำตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไร เกิดเมื่อไหร่ อายุเท่าไหร่
คนไข้อาจจะมีความประพฤติผิดปกติแต่ควบคุมไม่ได้ กินอาหารเลอะเทอะมอมแมะ ขนของทิ้งขว้างปาสิ่งของเอาของไปซ่อน
ผู้อาจจะป่วยจะเริ่มไม่สามารถบอกได้เกี่ยวกับการขับถ่าย ปัสสาวะอุจจาระไม่เลือกที่เลอะเทอะ
ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงจะเดินน้อยลงทุกที ผู้ป่วยจะไม่พูด ถ้าพูดก็จะพูดสั้น
ๆ ซ้ำ ๆ ในที่สุดผู้ป่วยก็มักจะเสียชีวิตจากแผลกดทับ หรือการเป็นปอดบวม
การตรวจคอมพิวเตอร์สมองจะบอกได้เลยไหม ว่าเป็นสมองเสื่อมหรือเปล่า
การตรวจคอมพิวเตอร์สมองอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถจะวินิจฉัยได้ว่า ผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่
เพราะการตรวจคอมพิวเตอร์สมอง จะเห็นได้แต่เพียงว่าเนื้อสมองอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือผิดปกติไปอย่างไร
หรืออาจจะเห็นลักษณะเนื้องอกในสมอง หรือลักษณะอาการฝ่อเหี่ยวของสมองอย่างไร แต่จะต้องประกอบกับลักษณะอาการของผู้ป่วย
ซึ่งได้จากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการทำทดสอบสมรรถภาพด้านสมองด้วย ดังนั้นคนที่สงสัยว่าเป็นสมองเสี่อมนั้น
ควรจะไปพบแพทย์ ไม่ใช่ไปทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง
ถ้ามีอาการแบบสมองเสื่อมแต่เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แล้วหมอบอกปกติดี
สมองเหี่ยวไม่มากอยู่ในเกณฑ์เดียวกับคนปกติ อย่างนี้จะเป็นโรคสมองเสื่อมไหม
ผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมในระยะต้น โดยเฉพาะโรคอัลไซเมอร์ อาจจะมีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปกติได้
ดังนั้นถึงแม้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แล้ว จะบอกว่าลักษณะสมองปกติ ผู้ป่วยก็อาจจะเป็นสมองเสื่อมได้
ทั้งนี้จะต้องติดตามดูผู้ป่วยต่อไป ในที่สุดมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อสมอง สมองจะเหี่ยวมากขึ้น
ซึ่งตอนนั้นจะช่วยบอกเราได้ว่า ผู้ป่วยน่าจะเป็นโรคสมองเสื่อมชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างแน่นอน
มีญาติเป็นอัลไซเมอร์ ลูกหลานจะเป็นด้วยไหม เจาะเลือดจะทราบไหม
เราพบว่ามีความผิดปกติทางพันธุกรรมในผู้ป่วยสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ แต่เรายังไม่ทราบชัดเจนถึงลักษณะถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี้
หมายความว่า ผู้ป่วยที่เป็นอัลไซเมอร์ มักจะมีความผิดปกติอยู่ในพันธุกรรม แต่ก็จะมีคนอีกหลาย
ๆ คน ที่เป็นอัลไซเมอร์ ก็มีลักษณะความผิดปกติเหล่านี้อยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า
อัลไซเมอร์นั้นมีความผิดปกติอยู่ในพันธุกรรม แต่อาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งมากระตุ้น
ทำให้ลักษณะความผิดปกติแสดงออกมา จนทำให้เกิดโรคในที่สุด คนบางคนที่มีความผิดทางพันธุกรรมอยู่
แต่สามารถอยู่อย่างดีไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ก็เจอได้เรื่อย ๆ แสดงว่าคนกลุ่นนั้นเขาโชคดี
ไม่มีอะไรมากระตุ้นพันธุกรรมที่ผิดปกติ และทำให้เกิดโรคขึ้น ในขณะนี้มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง
แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ คนที่มีญาติเป็นอัลไซเมอร์ ขอให้ทำใจให้สบาย ฝึกจิตคิดแต่สิ่งที่ดีงาม
รู้จักการให้แล้วก็คิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับมนุษย์นี้ ล้วนมีลิขิตมาแล้ว แต่ศาสนาพุทธก็เชื่อว่าเป็นผลแห่งกรรม
ถ้าทำใจได้อย่างนี้ วันหนึ่งถ้าจะต้องเป็นคงต้องเป็น ถ้าไม่เป็นก็ไม่เป็น อย่าได้มีความทุกข์ติดตัวเลย
การเจาะเลือดนั้นจะบอกได้ว่า คุณมีพันธุกรรมที่ผิดปกติอยู่หรือไม่ บอกได้แต่เพียงว่ามีหรือไม่มี
แต่บอกไม่ได้ว่า คุณจะเป็นหรือไม่เป็น ทั้งนี้ต้องดูอาการต่อไปข้างหน้า
© 2001 พญ. สิรินทร ฉันศิริกาญจน
© 2001-2009 RxRama ---- All rights reserved.